อาหารเพื่อสุขภาพ หมายถึง ?


อาหารเพื่อสุขภาพ หมายถึง อาหารที่ก่อให้เกิดประโยชน์ต่อร่างกาย นอกเหนือจากสารอาหารหลักที่จำเป็นต่อร่างกาย นอกจากนี้อาจช่วยลดอัตราเสี่ยงต่อโรคต่างๆ ปัจจุบันอาหารเพื่อสุขภาพ ได้รับความสนใจอย่างแพร่หลาย ทั้งในด้านการวิจัยและเชิงพาณิชย์ ซึ่งเป็นมูลค่ามาก ทั้งนี้เนื่องจากผู้บริโภคหันมาให้ความสำคัญกับอาหารและสุขภาพมากขึ้นจึงทำให้เกิดการพัฒนาผลิตภัณฑ์อาหารเสริมสุขภาพ เช่น การเสริมวิตามิน,เส้นใยและกรดไขมันที่จำเป็นต่อร่างกาย

อาหารเป็นปัจจัยสำคัญในการดำเนินชีวิต ดังนั้นเราต้องใส่ใจในเรื่องการรับประทานอาหารมากเป็นพิเศษ การรับประทานอาหารให้ถูกสุขลักษณะจะช่วยให้เรามีสุขภาพร่างกายที่แข็งแรง วิถีชีวิตในสังคมปัจจุบัน มีแต่ความรีบเร่งมากขึ้น จนไม่ค่อยมีเวลาที่จะให้ความสำคัญกับเรื่อง ความสมดุลของอาหารที่รับประทานรวมทั้งค่านิยมการรับประทานอาหารแบบตะวันตก ซึ่งประกอบด้วย เนื้อสัตว์ ไขมัน นม เนย เป็นส่วนใหญ่ ทำให้คนไทยมีโรค ซึ่งเกิดจากการกินดีเกินไป เช่น เบาหวาน ความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ โรคอัมพาต ซึ่งโรคเหล่านี้ล้วนเกี่ยวกับความเสื่อมของหลอดเลือด ชาวตะวันตกเริ่มตระหนักถึงพิษภัยของการกินอาหาร ซึ่งไม่สมดุลได้มีการชักชวนให้ลดการรับประทาน เนื้อสัตว์ นม เนย ให้เพิ่มการรับประทาน พืช ผัก และธัญพืช ซึ่งอุดมด้วยเส้นใยจากธรรมชาติ และวิตามิน สำหรับวัยเด็ก นมและเนื้อสัตว์ ยังเป็นสิ่งจำเป็น เนื่องจากร่างกายมีการเจริญเติบโตในวัยผู้ใหญ่ร่างกายต้องการโปรตีนลดลง การรับประทานเนื้อสัตว์ และนมมากเกินไปยังทำให้ร่างกายได้รับไขมันเพิ่ม เนื่องจากในเนื้อสัตว์และนมจะมีปริมาณไขมันค่อนข้างสูง นอกจากนั้นยังพบว่า ผู้ที่รับประทานเนื้อสัตว์มาก ๆ มีโอกาสเกิดมะเร็งลำไส้ใหญ่ได้สงูควรเปลี่ยนแปลงมารับประทานโปรตีนจากพืชพวกถั่วแทนกลุ่มอาหารที่ไม่ควรรับประทานมากเกินไป คือ น้ำตาล พบว่าน้ำตาลทำให้หลอดเลือดมีความเสื่อมเร็วขึ้น ในผู้ป่วยเบาหวานที่มีน้ำตาลสูงจะพบว่าหลอดเลือดแก่ก่อนวัย ไขมันก็เป็นอีกกลุ่มหนึ่งที่ควรจำกัด และใช้น้ำมันจากพืชแทน น้ำมันจากสัตว์ ยกเว้นน้ำมันมะพร้าวและน้ำมันปาล์มควรหลีกเลี่ยง เนื่องจากมีโคเรสเตอรอลสูง อาหารที่คสรรับประทาน ผัก ผลไม้ ธัญพืช เช่น ข้าวซ้อมมือ ถั่ว เพราะอุดมไปด้วย กากใยธรรมชาติ วิตามิน และเกลือแร่

โจ๊กหมู อาหารเช้า ง่ายๆได้ประโยชน์





อาหารเช้า โจ๊กหมู

โจ๊กหมู จะมีปลายข้าว รำข้าว ถ้าเยอะไปก็ทำให้หิวเร็วได้เช่นกัน เพราะมันคือ แป้งที่ทำให้เราหิวเร็วได้ ส่วนสิ่งที่ควรจะทานคู่กับโจ๊กหมูคือ ขิง และต้นหอม เพราะขิงจะช่วยระบบเผาผลาญในร่างกาย และทำให้ไม่รู้สึกเลี่ยน ต้นหอม ช่วยในเรื่องลดไขมัน และควบคุมน้ำตาล

ประโยชน์ของโจ๊กหมู หากเราเลือกโจ๊กที่ทำจากปลายข้าวแท้ๆ แล้วผสมจมูกข้าวลงไปด้วย มันจะทำให้เราได้วิตามินอี (Vitamin E) และ แกมมา ออริซานอล (Gamma-Orizanal) ซึ่งเป็นสารแอนตี้ออกซิแดนท์ ที่มีในข้าว หรือรำข้าว และถ้ายิ่งได้โจ๊กที่ทำจากข้าวกล้องงอกจะยิ่งดีมาก เพราะมันจะมี กาบา (Gaba) ที่ทำให้สมองร่าเริง ดังนั้นถ้าเลือกได้ก็ควรเลือกซื้อโจ๊กที่ใช้ข้าวที่มีประโยชน์เหล่านี้ แต่ถ้าหาซื้อลำบาก หาได้เป็นโจ๊กข้าวขาวธรรมดา ก็ไม่ต้องซีเรียส ลองพยายามลดความเสี่ยงจากการได้แป้ง กับน้ำตาลเยอะ โดยเน้นทานผักเยอะๆ และไม่ต้องปรุงรสให้หวานขึ้น หรือเค็มขึ้น

คำแนะนำ อย่ากินโจ๊ก คู่กับปาท่องโก๋ เพราะนั่นคือการนำแป้งมาจิ้มแป้ง และหากโจ๊กนั้นใส่หมูสับแล้ว ก็ไม่ต้องใส่เครื่องในหมูเข้าไปอีก เพราะเครื่องในเป็นแหล่งของกรดยูริค ที่ทำให้เกิดเก๊าท์ และในตัวโจ๊กก็ทำจากน้ำต้มกระดูก ซึ่งมีกรดยูริคมากอยู่แล้ว หากเราใส่เครื่องในเข้าไปอีกมันก็จะได้กรดยูริคมากเกินไป แถมยังได้คอเลสเตอรอล (Cholesterol) มากเกินไปด้วย เพราะหมูสับก็มีคอเลสเตอรอลอยู่แล้ว หากใส่เครื่องในอีกก็อาจจะทำให้เราได้คอเลสเตอรอลในมื้อนั้นมากเกินไป

10 วิธีกินอาหารเพื่อสุขภาพ


การดำรงชีวิตในแต่ละวันร่างกายต้องการอาหารที่หลากหลาย มีคำแนะนำจากหลายสำนักให้กินนั่น ห้ามกินนี่จนไม่รู้จะเชื่อใครดี วันนี้เราจึงมีเคล็ดลับง่ายๆ ของการกินให้ได้ประโยชน์สูงสุดต่อสุขภาพอย่างเต็มที่มาฝาก

1. รับประทานอาหารเช้า เป็นพฤติกรรมพื้นฐานที่ส่งผลต่อจิตใจ และพลังชีวิตของคุณไปตลอดทั้งวัน และช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลในเส้นเลือด ลดอัตราเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจ ช่วยเผาผลาญพลังงานให้ดีขึ้น ทำให้คุณกินอาหารในมื้ออื่นๆ น้อยลง

2. เลือกใช้น้ำมันสำหรับปรุงอาหาร ยอมจ่ายแพงสักนิดใช้น้ำมันมะกอก หรือน้ำมันดอกทานตะวัน ปรุงอาหารแทนน้ำมันแบบเดิมที่เคยใช้ เพราะเป็นไขมันที่ไม่เป็นโทษต่อร่างกาย และมีกรดไขมันอิ่มตัวที่เป็นประโยชน์ ช่วยลดไขมันในเส้นเลือดได้เป็นอย่างดี

3. ดื่มน้ำวันละ 8 แก้วิเป็นอย่างน้อย (ยกเว้นในรายที่ไตทำงานผิดปกติ) เพื่อหล่อเลี้ยงเซลล์ในร่างกาย ฟื้นฟูระบบขับถ่าย รักษาระดับความเข้มข้นของเลือด จะทำให้สดชื่นตลอดวันเลยทีเดียว

4. ดื่มนมเสริมแคลเซียมให้ร่างกายหรือ กินปลาตัวเล็กทั้งตัวทั้งก้าง เต้าหู้ ผลิตภัณฑ์จากถั่วเหลือง ผักใบเขียว เพราะแคลเซียมเป็นสิ่งจำเป็นที่จะเสริมสร้างความแข็งแรงให้กับกล้ามเนื้อและกระดูก ทำให้ระบบประสาททำงานได้เต็มประสิทธิภาพ

5. เลิกกินขนม เช่น โดนัท คุกกี้ เค้กหน้าครีมหนานุ่ม ออกจากชีวิตบ้าง แล้วหันมากินผลไม้เป็นของว่างแทน วิตามิน และกากใยในผลไม้ มีประโยชน์กว่าไขมัน และน้ำตาลจากขนมหวานเป็นไหนๆ

6. สรับประทานธัญพืชและข้าวกล้อง เมล็ดทานตะวัน ข้าวฟ่างและลูกเดือย รวมทั้งข้าวกล้องที่เคยคิดว่าเป็นอาหารนก ได้มีการศึกษาและค้นคว้าแล้ว พบว่า ช่วยลดความเสี่ยงต่อโรคหัวใจถึง 1 ใน 3 เลยทีเดียว เพราะอุดมไปด้วยไฟเบอร์ ที่ช่วยลดระดับคอเลสเตอรอล และควบคุมน้ำตาลในเลือดให้สมดุล

7. ดื่มชาเป็นประจำ เช่น ชาดำ ชาเขียว ชาอู่ล่ง หรือเอิร์ลเกรย์ ล้วนแล้วแต่มีคุณสมบัติต้านอนุมูลอิสระ การดื่มชาวันละ 1 ถึง 3 แก้ว ช่วยลดอัตราเสี่ยงมะเร็งกระเพาะอาหารถึง 30%

8. รับประทานผักผลไม้ คุณต้องพยายามรับประทานผักผลไม้ต่างๆ ให้หลากสี เป็นต้นว่า สีแดงมะเขือเทศ สีม่วงองุ่น สีเขียวบล็อกเคอรี สีส้มแครอท อย่ายึดติดอยู่กับการกินอะไรเพียงอย่างเดียว เพราะพืชต่างสีกัน มีสารอาหารต่างชนิดกัน แถมยังเป็นการเพิ่มสีสันการกินให้กับคุณด้วย

9. รับประทานปลา อย่างสม่ำเสมอ การกินปลาอย่างน้อยอาทิตย์ละครั้ง ได้ทั้งความฉลาดและแข็งแรง เพราะปลามีกรดไขมันโอเมก้า 3 และโปรตีน ที่ช่วยควบคุมการเต้นของหัวใจให้เป็นปกติ และบำรุงเซลล์สมอง ทั้งยังมีไขมันน้อย อร่อย ย่อยง่าย เหมาะสำหรับคนที่ต้องการหุ่นเพรียวลมเป็นที่สุด

10. รับประทานถั่วให้เป็นนิสัย ทำให้ถั่วเป็นส่วนหนึ่งของอาหารที่คุณต้องกินทุกวัน วันละสัก 2 ช้อน ไม่ว่าจะเป็นของหวานของคาว หรือว่าของว่างก็ทั้งโปรตีน วิตามิน และแร่ธาตุสำคัญๆ หลายชนิด ต่างพากันไปชุมนุมอยู่ในถั่วเหล่านี้ ควรกินถั่วอย่างสม่ำเสมอ แต่ไม่ควรกินครั้งละมากๆ เพราะมีแคลอรี่สูง อาจทำให้อ้วนได้




อาหารเช้า มื้อสำคัญต่อสุขภาพ

 

         บางครั้งวิถีชีวิตอันวุ่นวายก็ทำให้เราลืมทาน"อาหารมื้อเช้า"ไม่ว่าจะตั้งใจหรือไม่ได้ตั้งใจก็ตาม แต่รู้หรือไม่ว่าอาหารมื้อเช้านี่เเหละ กลับกลายเป็นมื้อสำคัญที่จะเติมพลังงานให้เราตลอดทั้งวัน ประโยชน์ขอ"อาหารเช้า"มีมากมาย


         สำหรับเด็กๆแล้วการรับประทาน"อาหารเช้า"จะทำให้ร่างกายรับสารอาหารเพื่อใช้ในการเจริญเติบโต เด็กที่อด"อาหารเช้า"จะทำให้ร่างกายไม่เจริญเติบโตไปตามเกณฑ์ และยังส่งผมต่อสติปัญญา ทำให้ขาดสมาธิอีกด้วย

           ไม่ใช่แค่เด็กๆเท่านั้น ผู้ใหญ่ก็เหมือนกันการรับประทาน"อาหารเช้า"ส่งผมดีมากมาย เช่น ช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดโรคเบาหวาน สำหรับคนที่รับประทานอาหารเช้า เป็นประจำจะมีภาวะที่เรียกว่าดื้อต่ออิซูรีน ซึ่งเป็นสาเหตุของโรคเบาหวานนั้นลดลง 30-50% ลดโอกาสของการเกิดโรคนิ่ว การอดอาหาราติดต่อกันนานกว่า 14 ชั่วโมงส่งผมให้คอเลสเตอรอลในถุงน้ำดีจับตัวกันนานเกินไป ทำให้สิ่งที่จับตัวกันเป็นก้อนนิ่ว การทาน"อาหารเช้า"จะไปกระตุ้นการทำงานของตับให้ปล่อนน้ำดีออกมาละลายคอเลสเตอรอลที่จับตัวกัน

              อาหารเช้า ช่วยลดความเสี่ยงต่อโรคเส้นเลือดสมองและโรคหัวใจ สำหรับหัวของนี้เป็นการวิจัยของสมาคมการแพทย์โรคหัวใจของอเมริกา เมื่อปี 2003 พบ่าการรับประทาน "อาหารเช้า"เป็นประจำอย่างสม่ำเสมอ จะช่วยลดระดับความเข้มข้นของเลือดเจือจางลง เพราะตอนเช้าเลือดตนเราจะมีความเข้มข้นสูงมาก อาจเสี่ยงต่อโรคหัวใจและการอุดตันของเส้นเลือด ฮาหารเช้าช่วยควบคุมน้ำหนัก อาจจะฟังดูแปลก แต่มันคือเรื่องจริง นั้นเพราะว่าระหว่างนอนหลับเราอดอาหารมานานหลายชั่วโมง ทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดเราต่ำลง หากเรายังไม่รับประทาน"อาหารเช้า"อีกจะมีแนะโน้มการรับประทานอาหารที่ให้พลังงานสูงและไขมันสูงในมื้อเที่ยง ซึ้งนี้คือสาเหตุทำให้น้ำหนักเพิ่มขึ้นนั้นเอง

อาหารเช้า บำรุงสมอง



1.ปลาแซลมอน
ปลาแซลมอนเป็นปลาทะเลที่นิยมรับประทานกันมากค่ะ เพราะในเนื้อของปลาแซลมอนอุดมไปด้วย กรดไขมัน มีโอเมก้า 3 DHA และ EPA ซึ่งมีความจำเป็นสำหรับการเจริญเติบโตของร่างกายและสมอง

2. ไข่

ไข่หนึ่งฟองจะอุดมไปด้วยโปรตีน ยิ่งตรงไข่แดงจะมีโปรตีนเยอะที่สุด ประโยชน์ของไข่ คือ ช่วยในการบำรุงสมอง ช่วยบำรุงร่างกายและช่วยฟื้นฟูสุขภาพด้วย

ไข่


3. เนย

ในเนย จะมีสารเลซิติน มีวิตามินอีที่มีศักยภาพในการต่อต้านอนุมูลอิสระ ช่วยปกป้องระบบประสาท ช่วยในการบำรุงสมองและเพิ่มความจำได้
เนย


4.ธัญพืช

ธัญพืชในอาหาร เช่น ซีเรียลธัญพืช รำข้าว หรือข้าว-ซ้อมมือ จะให้พลังงานสูง และมีเส้นใย ช่วยในการควบคุมระดับของน้ำตาลในเลือด และมีวิตามินบี และมีส่วนช่วยในความจำ และบำรุงสมองของเด็ก
ธัญพืช



5.ข้าวโอ๊ต

การรับประทานข้าวโอ๊ตเป็นอาหารเช้าเป็นประจำ สารอาหารในข้าวโอ๊ตจะช่วยให้สมองและร่างกายทำงานได้อย่างเหมาะสม เพราะในข้าวโอ๊ตมีทั้งวิตามิน B โทแทสเซียม และสังกะสี
ข้าวโอ๊ต


6.ผลไม้ตระกูลเบอร์รี่

ผลไม้ตระกูลเบอร์รี่ทั้งหลายกำลังเป็นที่นิยมในปัจุบัน ไม่ว่าจะเป็นสตอเบอร์รี่ บลูเบอร์รี่ ก็ล้วนให้ประโยนย์แก่ร่างกายหลายอย่างเช่น ช่วยในเรื่องของความจำ ระบบประสาทสมอง เพราะว่าผลไม่ตตระกูลเบอร์รี่มีทั้ง วิตามิน C และโอเมก้า 3
เบอร์รี่


7.ถั่ว

ถั่วเป็นแหล่งของโปรตีนและคาร์โบไฮเดตร  เป็นอาหารสมองชั้นดีเพราะจะช่วยเพิ่มระดับพลังงานให้ร่างกายได้ หากเด็ก ๆ ทานแล้วจะช่วยเสริมความจำ บำรุงสมอง ช่วยในการเจริญเติบโต

ถั่ว



8.ผักสีสด

ในผักสีสดจะมีแร่ธาตุและวิตามินจำนวนมาก มีทั้งสารต่อต้านอนุมูลอิสระ ในส่วนช่วยในการพัฒนาระบบภูมิคุ้มกันและรักษาเซลล์สมองให้แข็งแรงขึ้นได้

ผัก

9.นมหรือโยเกิร์ต

อาหารประเภทนมหรือโยเกิร์ต เป็นอาหารที่มีความจำเป็นต่อการเจริญเติมโตของเนื้อเยื่อสมองและเอนไซม์ ซึ่งมีส่วนช่วยให้ร่างกายมีความแข็งแรง และมีส่วนช่วยในการพัฒนาสมองด้วย
โยเกิร์ต


10.เนื้อไม่ติดมัน

การทานเนื้อเป็นสิ่งที่ดี แต่เราควรจะรับประทานเนื้อที่ไม่ติดมันดีที่สุด เพราะหากเรารับประทานเนื้อติดมันมากเกินไปอาจจะทำให้เกิดโรคต่าง ๆ ตามมาได้ ในเนื้อที่ไม่ติดมันจะมีเกลือแร่ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญสำหรับการเจริญเติบโตของเด็ก เพระช่วยพัฒนาความจำได้



เนื้อ

อาหารเช้าลดน้ำหนัก




       ต้องการลดน้ำหนัก ควบคุมน้ำหนัก อย่าคิดพึ่งวิธีการอดอาหารเชียวนะ บางคนอาจทรมานตัวเองด้วยการอดมื้อกลางวันหรือมื้อเย็น แต่มื้อที่คุณขาดไม่ได้เลยนั้นคือมื้อเช้า และนี่คือรายการอาหารเช้าที่ช่วยคุณได้ในช่วงลดน้ำหนัก




1.ข้าวโอ๊ต


          เมนูแนะนำของมื้อเช้าเลย เหมาะกับคนทุกวัยและทุกรูปร่าง เป็นตัวช่วยสำคัญในการทำความสะอาดระบบการย่อยในทางเดินอาหาร เรียกได้ว่าเคลียร์พื้นที่ในลำไส้นั่นแหละ ช่วยลดปริมาณระดับคอเลสเตอรอลที่ร่างกายจะได้รับเข้ามา ข้าวโอ๊ตหนึ่งถ้วยใส่นม หรือเติมช็อกโกแลตด้วยเล็กน้อยก็พอช่วยให้คุณอิ่มท้องได้แล้ว คาร์โบไฮเดรตในข้าวโอ๊ตช่วยเติมพลังให้คุณได้โดยที่ไม่มีแคลอรีสูงด้วย




2.ผลไม้สด


         ตื่นรับวันใหม่ ด้วยผลไม้สด ๆ ชุ่มฉ่ำ เป็นวิธีธรรมชาติที่ช่วยลดไขมันส่วนเกินในร่างกายและขจัดสารพิษตกค้าง องุ่นสักพวง แอปเปิ้ลสักลูก หรือกีวีฝาน ช่วยให้ทั้งพลังงานและเติมความสดชื่น กินคู่กับนมหรือกาแฟสักแก้ว ก็จะได้สุดยอดอาหารเช้าไดเอ็ตแล้ว




3.ซีเรียลกับนม


          อาหารสุดฮิต โดยเฉพาะสำหรับเด็ก ๆ คอร์นเฟล็กซ์กับนมอย่างง่าย ๆ นี้ให้พลังงานกับร่างกายคุณได้แน่นอน โดยไม่เพิ่มไขมันที่คุณย่อมไม่ต้องการ อาจเติมผลไม้ลงไปสักหน่อย เช่น พีช เบอร์รี่ หรือแอปเปิ้ล เป็นอาหารเช้าอย่างง่าย ๆ ที่ดีต่อการไดเอ็ตอย่างมาก




4.สลัดผัก 


          เหมาะกับช่วงหน้าร้อนอาจเป็นเมนูที่น่าเบื่อสำหรับบางคน แต่ก็ไร้ไขมันส่วนเกินนะ กินคู่กับผลไม้และนมสักหน่อยก็ช่วยให้คุณรู้สึกกระฉับกระเฉงได้ การกินผักสดตั้งแต่หัววันเป็นเรื่องดีมาก เพราะเป็นการเปิดทางให้ระบบย่อยอาหารนั้นโล่งสะดวก พร้อมรับอาหารในตลอดทั้งวันที่เหลือ




5.มิลค์เชค


          ชา กาแฟ หรือนมปั่น เหมาะกับคนที่ชอบดื่มพวกชา และกาแฟมาก เพราะให้แคลอรีค่อนข้างสูงพอที่จะเติมพลังให้คุณ แต่ต้องคอยควบคุมน้ำตาล อย่าให้หวานเกินไปล่ะ เพราะจะกลายเป็นเพิ่มน้ำหนักให้คุณได้

น้ำเต้าหู้ อาหารเพื่อสุขภาพ



            

น้ำเต้าหู้ หรือนมถั่วเหลือง (soy milk) ผลิตจากการนำถั่วเหลืองมาแช่ บด และต้มกับน้ำแล้วกรองเอาส่วนที่เป็นน้ำมาปรุงรสหวานเป็นเครื่องดื่ม มีการศึกษาถึงคุณประโยชน์ต่อสุขภาพของถั่วเหลืองเป็นเวลาหลายสิบปีแล้ว ซึ่งอ้างถึงประโยชน์ในการลดระดับโคเลสเตอรอลในเลือด ลดอาการวัยทอง และลดความเสี่ยงของโรคต่างๆ เช่น โรคมะเร็ง โรคหัวใจ และโรคกระดูกพรุนด้ว ซึ่งล้วนเป็นปัญหาด้านสุขภาพที่เกิดขึ้นกับบุคคลที่สูงวัยขึ้น นอกจากนี้ ในถั่วเหลืองยังอุดมไปยสารอาหารอีกมากมาย ไม่ว่าจะเป็น  วิตามิน AB, B1, B2, B6, B12 วิตามิน C, D, E ไนอาซิน คาร์โบไฮเดรต แคลเซียม ฟอสฟอรัส และในเมล็ดถั่วเหลืองยังมี “เลซิทิน” อันเป็นสารบำรุงสมอง เพิ่มความทรงจำ ลดไขมันในร่างกายได้อีกด้วย

ประโยชน์ของน้ำเต้าหู้

1. ป้องกันโรคมะเร็ง โรคกระดูกพรุน อาการวัยทองและโรคหลอดเลือดหัวใจ

2. ให้โปรตีนเกือบเท่านม มีไขมันที่ดีกว่า คือให้กรดไขมันไม่อิ่มตัวมากกว่านมช่วยลดโคเลสเตอรอลและลดไขมันในร่างกายประโยชน์ของน้ำเต้าหู้

ใยอาหาร คืออะไร ?



ใยอาหาร (Fiber) คือ ส่วนที่เป็นผนังเซลล์ของพืชที่คนรับประทานเข้าไปแล้ว จะไม่ถูกย่อยในทางเดินอาหาร และแม้ว่าร่างกายจะไม่ได้รับพลังงานจากใยอาหารเลย แต่การไม่รับประทานใยอาหารจะมีผลร้ายต่อสุขภาพเป็นอย่างมาก เนื่องจากมีผลการศึกษาซึ่งพบว่า ใยอาหารมีบทบาทสำคัญต่อการขับถ่ายให้ดำเนินไปตามปกติ จึงมีส่วนสำคัญต่อการป้องกันไม่ให้เกิดโรคหรือภาวะอุดตันที่ลำไส้ใหญ่ โรคมะเร็งของลำไส้ใหญ่ และช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลในเลือดได้

ใยอาหาร สามารถแบ่งออกเป็น 2 กลุ่มหลักๆ ได้แก่ ใยอาหารชนิดละลายในน้ำ (Soluble Fiber) และใยอาหารชนิดที่ไม่ละลายในน้ำ (Insoluble Fiber) ซึ่งมีประโยชน์ต่อร่างกายแตกต่างกันคือ

ใยอาหารละลายน้ำได้(Soluble Fiber) จะช่วยให้การทำงานของลำไส้เล็กเป็นปกติ โดยจะช่วยเพิ่มความถี่ในการขับถ่าย และเพิ่มปริมาณของอุจจาระ นอกจากนี้ยังมีคุณสมบัติเป็นพรีไบโอติก (Prebiotic) จึงช่วยเพิ่มจำนวนเชื้อบิฟิโดแบคทีเรียม (Bifidobacterium) ในลำไส้ใหญ่ ทำให้ร่างกายไม่เป็นโรคระบบทางเดินอาหาร และยังช่วยขัดขวางการดูดซึมสารอาหารในลำไส้เล็ก ทำให้การดูดซึมสารอาหารช้าลง ส่งผลให้การใช้ฮอร์โมนอินซูลินในการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดลดลง จึงช่วยลดความเสี่ยงต่อการเป็นโรคเบาหวานประเภทที่ 2 หรือเบาหวานที่สัมพันธ์กับภาวะอ้วนและไม่ได้ออกกำลังกายได้ นอกจากนี้ ใยอาหารประเภทละลายน้ำยังเข้าไปขัดขวางการดูดซึมน้ำดีกลับเข้าสู่ตับด้วย จึงทำให้ตับต้องใช้คอเลสเตอรอลและไตรกลีเซอร์ไรด์มาผลิตเป็นน้ำดีเพิ่มขึ้น จึงช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลและไตรกลีเซอร์ไรด์ในซีรัมของผู้ที่มีปัญหาภาวะไขมันในร่างกายสูงได้อีกด้วย

ใยอาหารไม่ละลายน้ำ(Insoluble Fiber) หรือที่เรียกว่า กากใยอาหาร นั้น เป็นใยอาหารที่มีโมเลกุลขนาดใหญ่ พบในผักผลไม้ที่มีเส้นใยเหนียว เช่น แกนสับปะรด และก้านคะน้า เป็นต้น มีหน้าที่ดึงน้ำไว้ในตัวเอง ทำให้กากใยเหล่านี้มีน้ำหนักมากขึ้น ซึ่งส่งผลดีต่อระบบทางเดินอาหาร ทำให้ขับถ่ายได้ดีขึ้น

ในการรับประทานอาหาร ร่างกายก็จะได้รับใยอาหารทั้งสองกลุ่มผสมกันอยู่แล้ว จึงส่งผลให้เกิดประโยชน์ครบถ้วนต่อร่างกาย ทั้งนี้ ยังมีรายงานจากการศึกษาด้วยว่า ใยอาหาร สามารถป้องกันมะเร็งบางชนิดได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในลำไส้ใหญ่ และคนเราควรรับประทานใยอาหารให้ได้อย่างน้อย 20 – 35 กรัมต่อวัน

บลอกโคลี่ อาหารเพื่อสุขภาพ


บรอกโคลี ที่มีรูปร่างหน้าตาคล้ายดอกกะหล่ำ มีสีเขียวเข้ม นิยมนำมาประกอบอาหารหลายชนิด ไม่ว่าจะเป็นผัด สลัด หรือรับประทานเป็นเครื่องเคียงของเมนูต่างๆ ในบรอกโคลี อุดมไปด้วยสารซัลโฟราเฟน ช่วยป้องกันโรคมะเร็ง เพราะฉะนั้นการรับประทานบรอกโคลีหนึ่งถ้วยตวงนอกจากจะได้สารซัลโฟราเฟนที่สามารถช่วยป้องกันโรคมะเร็งได้แล้ว บรอกโคลียังให้วิตามินซีกับร่างกายถึง 13% ด้วย นอกจากนี้ บรอกโคลีอุดมไปด้วยสารอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกายมากมาย เช่น สารเบต้าแคโรทีน ธาตุซีลีเนียมที่ช่วยให้ผิวหนังดูอ่อนวัยและช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นให้กับผิวหนังของคนเรา วิตามินซีและสารแอนติออกซิแดนซ์ในบรอกโคลีจะช่วยต่อต้านอนุมูลอิสระที่เกิดขึ้นภายในร่างกาย แถมยังช่วยทำให้เส้นเลือดของเราแข็งแรงอีกด้วย ลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคไขข้ออักเสบ เบาหวาน และโรคหัวใจ อีกทั้งยังสามารถลดคอเลสเตอรอลและช่วยเพิ่มภูมิคุ้มกันให้กับร่างกายของเราได้อีกด้วย สารเบต้าแคโรทีนที่พบในบรอกโคลียังมีคุณสมบัติช่วยป้องกันการเกิดโรคต้อกระจกอีกต่างหาก เรียกว่ามีสรรพคุณที่ช่วยป้องกันโรคไม่แพ้พืชผักชนิดอื่นๆ เลย


ในประเทศไทยแล้ว นิยมปลูกบรอกโคลีมากที่สุดคือทางตอนเหนือของประเทศ เนื่องจากทางตอนเหนือของประเทศไทยมีลักษณะภูมิอากาศที่เหมาะสมแก่การเพาะปลูกมากกว่าภาคอื่นๆ เพราะบรอกโคลีชอบอากาศหนาว อุณหภูมิต่ำ ดังนั้นในปัจจุบันเพื่อให้บรอกโคลีมีความทนทานต่อสภาพอากาศที่ร้อนอบอ้าวของบ้านเรา จึงได้มีการพัฒนาสายพันธุ์ของบรอกโคลีขึ้นมาให้เหมาะสมและสามารถทนต่อสภาพอากาศที่ร้อนอบอ้าวยิ่งขึ้น ทำให้ปัจจุบันบรอกโคลีมีผลผลิตเป็นจำนวนมากออกสู่ท้องตลาด




อาหารเพื่อผิวสวย



อาหารเพื่อผิวสวย

วิตามินเอ ช่วยในการเจริญเติบโตเซลล์และเนื้อเยื่อในร่างกายให้ปกติ ป้องกันการติดเชื้อ ชะลอความเสื่อมของผิว ถ้าขาดจะทำให้ผิวแห้งหยาบเป็นสะเก็ดได้ เราสามารถหาวิตามินเอได้จากผักผลไม้สีเหลืองส้มหรือเขียว เช่น ฟักทอง แครอท ผักใบเขียวต่างๆ เป็นต้น

วิตามินบี ได้แก่ วิตามินบี 1 กระตุ้นการเผาผลาญคาร์โบไฮเดรตให้เป็นพลังงานกระตุ้นการทำงานของระบบประสาทและหัวใจ วิตามินบี 1 พบในธัญพืช ข้าวซ้อมมือ ถั่วต่างๆ งา ตับ เป็นต้น วิตามินบี 2 กระตุ้นการสร้างพลังงานของร่างกายทำให้เซลล์ผิวทำงานเป็นปกติ ถ้าขาดจะทำให้ผิวหนังอักเสบ เป็นปากนกกระจอก วิตามินบี 2 มีมากใน ไข่ เนื้อสัตว์ โยเกิร์ต นม วิตามินบี 3 หรือไนอาซิน ช่วยบรรเทาสิวชนิดผื่นแดงอักเสบ พบมากในเนื้อสัตว์ ไข่ไก่ จมูกข้าว วิตามินบี 6 ช่วยเสริมการทำงานของระบบประสาท การสร้างเม็ดเลือด หากขาดทำให้อ่อนเพลีย โลหิตจาง ชาปลายมือปลายเท้า พบมากในเนื้อสัตว์ ผักต่างๆ ปลา และยีสต์

วิตามินซี ช่วยต่อต้านอนุมูลอิสระ ปกป้องเซลล์ผิวและเนื้อเยื่อจากการถูกทำลาย ช่วยกระตุ้นการสังเคราะห์คอลลาเจนและอีลาสตินในผิวชั้นหนังแท้ด้วยผิวหนังที่มีคอลลาเจนมากจะกระชับแข็งแรง ไม่หย่อนคล้อยง่าย ริ้วรอยลดลง พบในผลไม้ที่มีรสเปรี้ยวทุกชนิด ผลไม้ตระกูลส้ม และผลไม้ตระกูลเบอร์รี่ เป็นต้น เพื่อประโยชน์สูงสุด ควรรับประทานวิตามินซีคู่กับวิตามินอี เพราทำงานร่วมกันในการต้านอนุมูลอิสระ

วิตามินอี มีสารต้านอนุมูลอิสระที่สำคัญในการป้องกันเซลล์ผิวจากการถูกทำลาย รวมถึงป้องกันไม่ให้อนุมูลอิสระทำลายไขมันและคอลลาเจนในเซลล์ผิว จึงช่วยชะลอความหย่อนยานของผิว ฟื้นฟูสภาพผิวจากการเสื่อมสภาพและรอยฟกช้ำ พบได้ในผัก เมล็ดพืช น้ำมันพืช ข้าวโพด ถั่ว นม ฯลฯ


สารพฤกษเคมี เป็นสารที่มีอยู่ในผักและผลไม้ ซึ่งทำให้ผักผลไม้มีสีและกลิ่นแตกต่างกัน สารพฤกษเคมีมีคุณสมบัติในการต้านอนุมูลอิสระชนิดที่ทำให้เกิดริ้วรอย ฟื้นฟูสภาพผิวให้เปล่งปลั่งสดใส ป้องกันมะเร็งบางชนิดได้ หากต้องการมีผิวสวยสดใสจึงต้องรับประทานผักและผลไม้ให้ครบทั้ง 5 สี ได้แก่ สีเขียว แดง เหลือง ขาว และสีม่วงเป็นประจำ


ซีลีเนียม ช่วยกระตุ้นภูมิต้านทาน เสริมการทำงานของฮอร์โมนไทรอยด์ และต้านอนุมูลอิสระทำงานเสริมกับวิตามินอี พบได้ในอาหารทะเล ตับ ไต เนื้อสัตว์และเมล็ดพืชเป็นต้น

สังกะสี มีส่วนประกอบแร่ธาตุและเอนไซม์กว่า 70 ชนิดในร่างกาย รวมทั้งเอนไซม์ที่มีหน้าที่ต่อต้านปฏิกิริยาของอนุมูลอิสระด้วย ยังจำเป็นในการสังเคราะห์คอลลาเจน และช่วยในการคงสภาพของคอลลาเจนและอีลาสติน ช่วยให้ผิวเต่งตึง ป้องกันริ้วรอย ลดความหย่อนยานของผิวและช่วยรักษาแผลของผิว พบมากในเนื้อสัตว์ อาหารทะเล ตับ ไข่แดง นม ถั่วและธัญพืช

คอลลาเจน เป็นส่วนประกอบของผิวหนังร้อยละ 70-75 เสื่อมสลายหรือถูกทำลายได้โดยรังสียูวีจากแสงแดด อนุมูลอิสระ มลพิษ และการสูบบุหรี่เป็นต้น การสร้างคอลลาเจนในผิวจะลดลงตามอายุ และในผู้หญิงจะลดลงเร็วกว่าในผู้ชาย ร่างกายสังเคราะห์คอลลาเจนจากกรดอะมิโนหลัก 4 ชนิด ได้แก่ ไลซีน โปรลีน ไฮดรอกซี่ไลซีน และไฮดรอกซี่โปรลีน ดังนั้นอาหารที่มีโปรตีนทุกชนิดจึงเป็นสารตั้งต้นให้ร่างกายในการสร้างคอลลาเจนได้

โคเอนไซม์คิว 10 มีในเซลล์อยู่แล้วตามธรรมชาติ โดยทำหน้าที่สร้างพลังงานในเซลล์ของร่างกายและต่อต้านอนุมูลอิสระ โดยออกฤทธิ์ในการเปลี่ยนวิตามินอีให้กลายเป็นโมเลกุลที่สามารถนำมาใช้ใหม่ได้ เมื่ออายุมากขขึ้น โคเอนไซม์คิว 10 จะลดปริมาณลง ส่งผลให้เซลล์ของร่างกายที่เคยแข็งแรงกลับอ่อนแอลง รวมถึงเซลล์ผิวด้วย พบมากในเนื้อสัตว์ หัวใจ ตับ ไต เนื้อสัตว์ รำข้าว ผลิตภัณฑ์จากถั่ว ปลาซาร์ดีน ปลาแมคเคอเรล และปลาแซลมอน เป็นต้น ควรรับประทานโคเอนไซม์คิว 10 ร่วมกับอาหารที่มีไขมัน เพราะไขมันทำให้โคเอนไซม์คิว 10 ดูดซึมดีขึ้น