อาหารเช้า มื้อสำคัญต่อสุขภาพ

 

         บางครั้งวิถีชีวิตอันวุ่นวายก็ทำให้เราลืมทาน"อาหารมื้อเช้า"ไม่ว่าจะตั้งใจหรือไม่ได้ตั้งใจก็ตาม แต่รู้หรือไม่ว่าอาหารมื้อเช้านี่เเหละ กลับกลายเป็นมื้อสำคัญที่จะเติมพลังงานให้เราตลอดทั้งวัน ประโยชน์ขอ"อาหารเช้า"มีมากมาย


         สำหรับเด็กๆแล้วการรับประทาน"อาหารเช้า"จะทำให้ร่างกายรับสารอาหารเพื่อใช้ในการเจริญเติบโต เด็กที่อด"อาหารเช้า"จะทำให้ร่างกายไม่เจริญเติบโตไปตามเกณฑ์ และยังส่งผมต่อสติปัญญา ทำให้ขาดสมาธิอีกด้วย

           ไม่ใช่แค่เด็กๆเท่านั้น ผู้ใหญ่ก็เหมือนกันการรับประทาน"อาหารเช้า"ส่งผมดีมากมาย เช่น ช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดโรคเบาหวาน สำหรับคนที่รับประทานอาหารเช้า เป็นประจำจะมีภาวะที่เรียกว่าดื้อต่ออิซูรีน ซึ่งเป็นสาเหตุของโรคเบาหวานนั้นลดลง 30-50% ลดโอกาสของการเกิดโรคนิ่ว การอดอาหาราติดต่อกันนานกว่า 14 ชั่วโมงส่งผมให้คอเลสเตอรอลในถุงน้ำดีจับตัวกันนานเกินไป ทำให้สิ่งที่จับตัวกันเป็นก้อนนิ่ว การทาน"อาหารเช้า"จะไปกระตุ้นการทำงานของตับให้ปล่อนน้ำดีออกมาละลายคอเลสเตอรอลที่จับตัวกัน

              อาหารเช้า ช่วยลดความเสี่ยงต่อโรคเส้นเลือดสมองและโรคหัวใจ สำหรับหัวของนี้เป็นการวิจัยของสมาคมการแพทย์โรคหัวใจของอเมริกา เมื่อปี 2003 พบ่าการรับประทาน "อาหารเช้า"เป็นประจำอย่างสม่ำเสมอ จะช่วยลดระดับความเข้มข้นของเลือดเจือจางลง เพราะตอนเช้าเลือดตนเราจะมีความเข้มข้นสูงมาก อาจเสี่ยงต่อโรคหัวใจและการอุดตันของเส้นเลือด ฮาหารเช้าช่วยควบคุมน้ำหนัก อาจจะฟังดูแปลก แต่มันคือเรื่องจริง นั้นเพราะว่าระหว่างนอนหลับเราอดอาหารมานานหลายชั่วโมง ทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดเราต่ำลง หากเรายังไม่รับประทาน"อาหารเช้า"อีกจะมีแนะโน้มการรับประทานอาหารที่ให้พลังงานสูงและไขมันสูงในมื้อเที่ยง ซึ้งนี้คือสาเหตุทำให้น้ำหนักเพิ่มขึ้นนั้นเอง

อาหารเช้า บำรุงสมอง



1.ปลาแซลมอน
ปลาแซลมอนเป็นปลาทะเลที่นิยมรับประทานกันมากค่ะ เพราะในเนื้อของปลาแซลมอนอุดมไปด้วย กรดไขมัน มีโอเมก้า 3 DHA และ EPA ซึ่งมีความจำเป็นสำหรับการเจริญเติบโตของร่างกายและสมอง

2. ไข่

ไข่หนึ่งฟองจะอุดมไปด้วยโปรตีน ยิ่งตรงไข่แดงจะมีโปรตีนเยอะที่สุด ประโยชน์ของไข่ คือ ช่วยในการบำรุงสมอง ช่วยบำรุงร่างกายและช่วยฟื้นฟูสุขภาพด้วย

ไข่


3. เนย

ในเนย จะมีสารเลซิติน มีวิตามินอีที่มีศักยภาพในการต่อต้านอนุมูลอิสระ ช่วยปกป้องระบบประสาท ช่วยในการบำรุงสมองและเพิ่มความจำได้
เนย


4.ธัญพืช

ธัญพืชในอาหาร เช่น ซีเรียลธัญพืช รำข้าว หรือข้าว-ซ้อมมือ จะให้พลังงานสูง และมีเส้นใย ช่วยในการควบคุมระดับของน้ำตาลในเลือด และมีวิตามินบี และมีส่วนช่วยในความจำ และบำรุงสมองของเด็ก
ธัญพืช



5.ข้าวโอ๊ต

การรับประทานข้าวโอ๊ตเป็นอาหารเช้าเป็นประจำ สารอาหารในข้าวโอ๊ตจะช่วยให้สมองและร่างกายทำงานได้อย่างเหมาะสม เพราะในข้าวโอ๊ตมีทั้งวิตามิน B โทแทสเซียม และสังกะสี
ข้าวโอ๊ต


6.ผลไม้ตระกูลเบอร์รี่

ผลไม้ตระกูลเบอร์รี่ทั้งหลายกำลังเป็นที่นิยมในปัจุบัน ไม่ว่าจะเป็นสตอเบอร์รี่ บลูเบอร์รี่ ก็ล้วนให้ประโยนย์แก่ร่างกายหลายอย่างเช่น ช่วยในเรื่องของความจำ ระบบประสาทสมอง เพราะว่าผลไม่ตตระกูลเบอร์รี่มีทั้ง วิตามิน C และโอเมก้า 3
เบอร์รี่


7.ถั่ว

ถั่วเป็นแหล่งของโปรตีนและคาร์โบไฮเดตร  เป็นอาหารสมองชั้นดีเพราะจะช่วยเพิ่มระดับพลังงานให้ร่างกายได้ หากเด็ก ๆ ทานแล้วจะช่วยเสริมความจำ บำรุงสมอง ช่วยในการเจริญเติบโต

ถั่ว



8.ผักสีสด

ในผักสีสดจะมีแร่ธาตุและวิตามินจำนวนมาก มีทั้งสารต่อต้านอนุมูลอิสระ ในส่วนช่วยในการพัฒนาระบบภูมิคุ้มกันและรักษาเซลล์สมองให้แข็งแรงขึ้นได้

ผัก

9.นมหรือโยเกิร์ต

อาหารประเภทนมหรือโยเกิร์ต เป็นอาหารที่มีความจำเป็นต่อการเจริญเติมโตของเนื้อเยื่อสมองและเอนไซม์ ซึ่งมีส่วนช่วยให้ร่างกายมีความแข็งแรง และมีส่วนช่วยในการพัฒนาสมองด้วย
โยเกิร์ต


10.เนื้อไม่ติดมัน

การทานเนื้อเป็นสิ่งที่ดี แต่เราควรจะรับประทานเนื้อที่ไม่ติดมันดีที่สุด เพราะหากเรารับประทานเนื้อติดมันมากเกินไปอาจจะทำให้เกิดโรคต่าง ๆ ตามมาได้ ในเนื้อที่ไม่ติดมันจะมีเกลือแร่ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญสำหรับการเจริญเติบโตของเด็ก เพระช่วยพัฒนาความจำได้



เนื้อ

อาหารเช้าลดน้ำหนัก




       ต้องการลดน้ำหนัก ควบคุมน้ำหนัก อย่าคิดพึ่งวิธีการอดอาหารเชียวนะ บางคนอาจทรมานตัวเองด้วยการอดมื้อกลางวันหรือมื้อเย็น แต่มื้อที่คุณขาดไม่ได้เลยนั้นคือมื้อเช้า และนี่คือรายการอาหารเช้าที่ช่วยคุณได้ในช่วงลดน้ำหนัก




1.ข้าวโอ๊ต


          เมนูแนะนำของมื้อเช้าเลย เหมาะกับคนทุกวัยและทุกรูปร่าง เป็นตัวช่วยสำคัญในการทำความสะอาดระบบการย่อยในทางเดินอาหาร เรียกได้ว่าเคลียร์พื้นที่ในลำไส้นั่นแหละ ช่วยลดปริมาณระดับคอเลสเตอรอลที่ร่างกายจะได้รับเข้ามา ข้าวโอ๊ตหนึ่งถ้วยใส่นม หรือเติมช็อกโกแลตด้วยเล็กน้อยก็พอช่วยให้คุณอิ่มท้องได้แล้ว คาร์โบไฮเดรตในข้าวโอ๊ตช่วยเติมพลังให้คุณได้โดยที่ไม่มีแคลอรีสูงด้วย




2.ผลไม้สด


         ตื่นรับวันใหม่ ด้วยผลไม้สด ๆ ชุ่มฉ่ำ เป็นวิธีธรรมชาติที่ช่วยลดไขมันส่วนเกินในร่างกายและขจัดสารพิษตกค้าง องุ่นสักพวง แอปเปิ้ลสักลูก หรือกีวีฝาน ช่วยให้ทั้งพลังงานและเติมความสดชื่น กินคู่กับนมหรือกาแฟสักแก้ว ก็จะได้สุดยอดอาหารเช้าไดเอ็ตแล้ว




3.ซีเรียลกับนม


          อาหารสุดฮิต โดยเฉพาะสำหรับเด็ก ๆ คอร์นเฟล็กซ์กับนมอย่างง่าย ๆ นี้ให้พลังงานกับร่างกายคุณได้แน่นอน โดยไม่เพิ่มไขมันที่คุณย่อมไม่ต้องการ อาจเติมผลไม้ลงไปสักหน่อย เช่น พีช เบอร์รี่ หรือแอปเปิ้ล เป็นอาหารเช้าอย่างง่าย ๆ ที่ดีต่อการไดเอ็ตอย่างมาก




4.สลัดผัก 


          เหมาะกับช่วงหน้าร้อนอาจเป็นเมนูที่น่าเบื่อสำหรับบางคน แต่ก็ไร้ไขมันส่วนเกินนะ กินคู่กับผลไม้และนมสักหน่อยก็ช่วยให้คุณรู้สึกกระฉับกระเฉงได้ การกินผักสดตั้งแต่หัววันเป็นเรื่องดีมาก เพราะเป็นการเปิดทางให้ระบบย่อยอาหารนั้นโล่งสะดวก พร้อมรับอาหารในตลอดทั้งวันที่เหลือ




5.มิลค์เชค


          ชา กาแฟ หรือนมปั่น เหมาะกับคนที่ชอบดื่มพวกชา และกาแฟมาก เพราะให้แคลอรีค่อนข้างสูงพอที่จะเติมพลังให้คุณ แต่ต้องคอยควบคุมน้ำตาล อย่าให้หวานเกินไปล่ะ เพราะจะกลายเป็นเพิ่มน้ำหนักให้คุณได้

น้ำเต้าหู้ อาหารเพื่อสุขภาพ



            

น้ำเต้าหู้ หรือนมถั่วเหลือง (soy milk) ผลิตจากการนำถั่วเหลืองมาแช่ บด และต้มกับน้ำแล้วกรองเอาส่วนที่เป็นน้ำมาปรุงรสหวานเป็นเครื่องดื่ม มีการศึกษาถึงคุณประโยชน์ต่อสุขภาพของถั่วเหลืองเป็นเวลาหลายสิบปีแล้ว ซึ่งอ้างถึงประโยชน์ในการลดระดับโคเลสเตอรอลในเลือด ลดอาการวัยทอง และลดความเสี่ยงของโรคต่างๆ เช่น โรคมะเร็ง โรคหัวใจ และโรคกระดูกพรุนด้ว ซึ่งล้วนเป็นปัญหาด้านสุขภาพที่เกิดขึ้นกับบุคคลที่สูงวัยขึ้น นอกจากนี้ ในถั่วเหลืองยังอุดมไปยสารอาหารอีกมากมาย ไม่ว่าจะเป็น  วิตามิน AB, B1, B2, B6, B12 วิตามิน C, D, E ไนอาซิน คาร์โบไฮเดรต แคลเซียม ฟอสฟอรัส และในเมล็ดถั่วเหลืองยังมี “เลซิทิน” อันเป็นสารบำรุงสมอง เพิ่มความทรงจำ ลดไขมันในร่างกายได้อีกด้วย

ประโยชน์ของน้ำเต้าหู้

1. ป้องกันโรคมะเร็ง โรคกระดูกพรุน อาการวัยทองและโรคหลอดเลือดหัวใจ

2. ให้โปรตีนเกือบเท่านม มีไขมันที่ดีกว่า คือให้กรดไขมันไม่อิ่มตัวมากกว่านมช่วยลดโคเลสเตอรอลและลดไขมันในร่างกายประโยชน์ของน้ำเต้าหู้

ใยอาหาร คืออะไร ?



ใยอาหาร (Fiber) คือ ส่วนที่เป็นผนังเซลล์ของพืชที่คนรับประทานเข้าไปแล้ว จะไม่ถูกย่อยในทางเดินอาหาร และแม้ว่าร่างกายจะไม่ได้รับพลังงานจากใยอาหารเลย แต่การไม่รับประทานใยอาหารจะมีผลร้ายต่อสุขภาพเป็นอย่างมาก เนื่องจากมีผลการศึกษาซึ่งพบว่า ใยอาหารมีบทบาทสำคัญต่อการขับถ่ายให้ดำเนินไปตามปกติ จึงมีส่วนสำคัญต่อการป้องกันไม่ให้เกิดโรคหรือภาวะอุดตันที่ลำไส้ใหญ่ โรคมะเร็งของลำไส้ใหญ่ และช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลในเลือดได้

ใยอาหาร สามารถแบ่งออกเป็น 2 กลุ่มหลักๆ ได้แก่ ใยอาหารชนิดละลายในน้ำ (Soluble Fiber) และใยอาหารชนิดที่ไม่ละลายในน้ำ (Insoluble Fiber) ซึ่งมีประโยชน์ต่อร่างกายแตกต่างกันคือ

ใยอาหารละลายน้ำได้(Soluble Fiber) จะช่วยให้การทำงานของลำไส้เล็กเป็นปกติ โดยจะช่วยเพิ่มความถี่ในการขับถ่าย และเพิ่มปริมาณของอุจจาระ นอกจากนี้ยังมีคุณสมบัติเป็นพรีไบโอติก (Prebiotic) จึงช่วยเพิ่มจำนวนเชื้อบิฟิโดแบคทีเรียม (Bifidobacterium) ในลำไส้ใหญ่ ทำให้ร่างกายไม่เป็นโรคระบบทางเดินอาหาร และยังช่วยขัดขวางการดูดซึมสารอาหารในลำไส้เล็ก ทำให้การดูดซึมสารอาหารช้าลง ส่งผลให้การใช้ฮอร์โมนอินซูลินในการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดลดลง จึงช่วยลดความเสี่ยงต่อการเป็นโรคเบาหวานประเภทที่ 2 หรือเบาหวานที่สัมพันธ์กับภาวะอ้วนและไม่ได้ออกกำลังกายได้ นอกจากนี้ ใยอาหารประเภทละลายน้ำยังเข้าไปขัดขวางการดูดซึมน้ำดีกลับเข้าสู่ตับด้วย จึงทำให้ตับต้องใช้คอเลสเตอรอลและไตรกลีเซอร์ไรด์มาผลิตเป็นน้ำดีเพิ่มขึ้น จึงช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลและไตรกลีเซอร์ไรด์ในซีรัมของผู้ที่มีปัญหาภาวะไขมันในร่างกายสูงได้อีกด้วย

ใยอาหารไม่ละลายน้ำ(Insoluble Fiber) หรือที่เรียกว่า กากใยอาหาร นั้น เป็นใยอาหารที่มีโมเลกุลขนาดใหญ่ พบในผักผลไม้ที่มีเส้นใยเหนียว เช่น แกนสับปะรด และก้านคะน้า เป็นต้น มีหน้าที่ดึงน้ำไว้ในตัวเอง ทำให้กากใยเหล่านี้มีน้ำหนักมากขึ้น ซึ่งส่งผลดีต่อระบบทางเดินอาหาร ทำให้ขับถ่ายได้ดีขึ้น

ในการรับประทานอาหาร ร่างกายก็จะได้รับใยอาหารทั้งสองกลุ่มผสมกันอยู่แล้ว จึงส่งผลให้เกิดประโยชน์ครบถ้วนต่อร่างกาย ทั้งนี้ ยังมีรายงานจากการศึกษาด้วยว่า ใยอาหาร สามารถป้องกันมะเร็งบางชนิดได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในลำไส้ใหญ่ และคนเราควรรับประทานใยอาหารให้ได้อย่างน้อย 20 – 35 กรัมต่อวัน

บลอกโคลี่ อาหารเพื่อสุขภาพ


บรอกโคลี ที่มีรูปร่างหน้าตาคล้ายดอกกะหล่ำ มีสีเขียวเข้ม นิยมนำมาประกอบอาหารหลายชนิด ไม่ว่าจะเป็นผัด สลัด หรือรับประทานเป็นเครื่องเคียงของเมนูต่างๆ ในบรอกโคลี อุดมไปด้วยสารซัลโฟราเฟน ช่วยป้องกันโรคมะเร็ง เพราะฉะนั้นการรับประทานบรอกโคลีหนึ่งถ้วยตวงนอกจากจะได้สารซัลโฟราเฟนที่สามารถช่วยป้องกันโรคมะเร็งได้แล้ว บรอกโคลียังให้วิตามินซีกับร่างกายถึง 13% ด้วย นอกจากนี้ บรอกโคลีอุดมไปด้วยสารอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกายมากมาย เช่น สารเบต้าแคโรทีน ธาตุซีลีเนียมที่ช่วยให้ผิวหนังดูอ่อนวัยและช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นให้กับผิวหนังของคนเรา วิตามินซีและสารแอนติออกซิแดนซ์ในบรอกโคลีจะช่วยต่อต้านอนุมูลอิสระที่เกิดขึ้นภายในร่างกาย แถมยังช่วยทำให้เส้นเลือดของเราแข็งแรงอีกด้วย ลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคไขข้ออักเสบ เบาหวาน และโรคหัวใจ อีกทั้งยังสามารถลดคอเลสเตอรอลและช่วยเพิ่มภูมิคุ้มกันให้กับร่างกายของเราได้อีกด้วย สารเบต้าแคโรทีนที่พบในบรอกโคลียังมีคุณสมบัติช่วยป้องกันการเกิดโรคต้อกระจกอีกต่างหาก เรียกว่ามีสรรพคุณที่ช่วยป้องกันโรคไม่แพ้พืชผักชนิดอื่นๆ เลย


ในประเทศไทยแล้ว นิยมปลูกบรอกโคลีมากที่สุดคือทางตอนเหนือของประเทศ เนื่องจากทางตอนเหนือของประเทศไทยมีลักษณะภูมิอากาศที่เหมาะสมแก่การเพาะปลูกมากกว่าภาคอื่นๆ เพราะบรอกโคลีชอบอากาศหนาว อุณหภูมิต่ำ ดังนั้นในปัจจุบันเพื่อให้บรอกโคลีมีความทนทานต่อสภาพอากาศที่ร้อนอบอ้าวของบ้านเรา จึงได้มีการพัฒนาสายพันธุ์ของบรอกโคลีขึ้นมาให้เหมาะสมและสามารถทนต่อสภาพอากาศที่ร้อนอบอ้าวยิ่งขึ้น ทำให้ปัจจุบันบรอกโคลีมีผลผลิตเป็นจำนวนมากออกสู่ท้องตลาด




อาหารเพื่อผิวสวย



อาหารเพื่อผิวสวย

วิตามินเอ ช่วยในการเจริญเติบโตเซลล์และเนื้อเยื่อในร่างกายให้ปกติ ป้องกันการติดเชื้อ ชะลอความเสื่อมของผิว ถ้าขาดจะทำให้ผิวแห้งหยาบเป็นสะเก็ดได้ เราสามารถหาวิตามินเอได้จากผักผลไม้สีเหลืองส้มหรือเขียว เช่น ฟักทอง แครอท ผักใบเขียวต่างๆ เป็นต้น

วิตามินบี ได้แก่ วิตามินบี 1 กระตุ้นการเผาผลาญคาร์โบไฮเดรตให้เป็นพลังงานกระตุ้นการทำงานของระบบประสาทและหัวใจ วิตามินบี 1 พบในธัญพืช ข้าวซ้อมมือ ถั่วต่างๆ งา ตับ เป็นต้น วิตามินบี 2 กระตุ้นการสร้างพลังงานของร่างกายทำให้เซลล์ผิวทำงานเป็นปกติ ถ้าขาดจะทำให้ผิวหนังอักเสบ เป็นปากนกกระจอก วิตามินบี 2 มีมากใน ไข่ เนื้อสัตว์ โยเกิร์ต นม วิตามินบี 3 หรือไนอาซิน ช่วยบรรเทาสิวชนิดผื่นแดงอักเสบ พบมากในเนื้อสัตว์ ไข่ไก่ จมูกข้าว วิตามินบี 6 ช่วยเสริมการทำงานของระบบประสาท การสร้างเม็ดเลือด หากขาดทำให้อ่อนเพลีย โลหิตจาง ชาปลายมือปลายเท้า พบมากในเนื้อสัตว์ ผักต่างๆ ปลา และยีสต์

วิตามินซี ช่วยต่อต้านอนุมูลอิสระ ปกป้องเซลล์ผิวและเนื้อเยื่อจากการถูกทำลาย ช่วยกระตุ้นการสังเคราะห์คอลลาเจนและอีลาสตินในผิวชั้นหนังแท้ด้วยผิวหนังที่มีคอลลาเจนมากจะกระชับแข็งแรง ไม่หย่อนคล้อยง่าย ริ้วรอยลดลง พบในผลไม้ที่มีรสเปรี้ยวทุกชนิด ผลไม้ตระกูลส้ม และผลไม้ตระกูลเบอร์รี่ เป็นต้น เพื่อประโยชน์สูงสุด ควรรับประทานวิตามินซีคู่กับวิตามินอี เพราทำงานร่วมกันในการต้านอนุมูลอิสระ

วิตามินอี มีสารต้านอนุมูลอิสระที่สำคัญในการป้องกันเซลล์ผิวจากการถูกทำลาย รวมถึงป้องกันไม่ให้อนุมูลอิสระทำลายไขมันและคอลลาเจนในเซลล์ผิว จึงช่วยชะลอความหย่อนยานของผิว ฟื้นฟูสภาพผิวจากการเสื่อมสภาพและรอยฟกช้ำ พบได้ในผัก เมล็ดพืช น้ำมันพืช ข้าวโพด ถั่ว นม ฯลฯ


สารพฤกษเคมี เป็นสารที่มีอยู่ในผักและผลไม้ ซึ่งทำให้ผักผลไม้มีสีและกลิ่นแตกต่างกัน สารพฤกษเคมีมีคุณสมบัติในการต้านอนุมูลอิสระชนิดที่ทำให้เกิดริ้วรอย ฟื้นฟูสภาพผิวให้เปล่งปลั่งสดใส ป้องกันมะเร็งบางชนิดได้ หากต้องการมีผิวสวยสดใสจึงต้องรับประทานผักและผลไม้ให้ครบทั้ง 5 สี ได้แก่ สีเขียว แดง เหลือง ขาว และสีม่วงเป็นประจำ


ซีลีเนียม ช่วยกระตุ้นภูมิต้านทาน เสริมการทำงานของฮอร์โมนไทรอยด์ และต้านอนุมูลอิสระทำงานเสริมกับวิตามินอี พบได้ในอาหารทะเล ตับ ไต เนื้อสัตว์และเมล็ดพืชเป็นต้น

สังกะสี มีส่วนประกอบแร่ธาตุและเอนไซม์กว่า 70 ชนิดในร่างกาย รวมทั้งเอนไซม์ที่มีหน้าที่ต่อต้านปฏิกิริยาของอนุมูลอิสระด้วย ยังจำเป็นในการสังเคราะห์คอลลาเจน และช่วยในการคงสภาพของคอลลาเจนและอีลาสติน ช่วยให้ผิวเต่งตึง ป้องกันริ้วรอย ลดความหย่อนยานของผิวและช่วยรักษาแผลของผิว พบมากในเนื้อสัตว์ อาหารทะเล ตับ ไข่แดง นม ถั่วและธัญพืช

คอลลาเจน เป็นส่วนประกอบของผิวหนังร้อยละ 70-75 เสื่อมสลายหรือถูกทำลายได้โดยรังสียูวีจากแสงแดด อนุมูลอิสระ มลพิษ และการสูบบุหรี่เป็นต้น การสร้างคอลลาเจนในผิวจะลดลงตามอายุ และในผู้หญิงจะลดลงเร็วกว่าในผู้ชาย ร่างกายสังเคราะห์คอลลาเจนจากกรดอะมิโนหลัก 4 ชนิด ได้แก่ ไลซีน โปรลีน ไฮดรอกซี่ไลซีน และไฮดรอกซี่โปรลีน ดังนั้นอาหารที่มีโปรตีนทุกชนิดจึงเป็นสารตั้งต้นให้ร่างกายในการสร้างคอลลาเจนได้

โคเอนไซม์คิว 10 มีในเซลล์อยู่แล้วตามธรรมชาติ โดยทำหน้าที่สร้างพลังงานในเซลล์ของร่างกายและต่อต้านอนุมูลอิสระ โดยออกฤทธิ์ในการเปลี่ยนวิตามินอีให้กลายเป็นโมเลกุลที่สามารถนำมาใช้ใหม่ได้ เมื่ออายุมากขขึ้น โคเอนไซม์คิว 10 จะลดปริมาณลง ส่งผลให้เซลล์ของร่างกายที่เคยแข็งแรงกลับอ่อนแอลง รวมถึงเซลล์ผิวด้วย พบมากในเนื้อสัตว์ หัวใจ ตับ ไต เนื้อสัตว์ รำข้าว ผลิตภัณฑ์จากถั่ว ปลาซาร์ดีน ปลาแมคเคอเรล และปลาแซลมอน เป็นต้น ควรรับประทานโคเอนไซม์คิว 10 ร่วมกับอาหารที่มีไขมัน เพราะไขมันทำให้โคเอนไซม์คิว 10 ดูดซึมดีขึ้น